ปฏิทิน

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

กินอย่างไรไม่ให้อ้วน
 













ทำไมเราถึงอ้วน


            
            การ เปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวขึ้นอยู่กับความสมดุลของพลังงานที่ได้รับจากการกิน อาหารและพลังงาน ที่ใช้ไปในการทำกิจกรรมต่างๆ  ถ้าพลังงานที่ได้จากการกินอาหารมากกว่าพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละวัน พลังงานที่มากเกินนั้นจะสะสมเป็นไขมันไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (body fat) ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้นานๆ จะเกิดโรคอ้วนตามมา เราจะทราบว่าอ้วนหรือไม่ ได้จากการคำนวณหาค่า "ดัชนีมวลกาย" หรือที่มักเรียกกันเป็นภาษาอังกฤษ ว่า BMI (ย่อมาจากคำว่า Body mass index) ซึ่งมีวิธีการคำนวณ ดังนี้คือ

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
                         ความสูง(กำลังสอง) (เมตร)

ค่า BMI ที่เหมาะสมของคนเอเชียควรอยู่ที่    ๑๘.๕ - ๒๒.๙ กิโลกรัม/ตารางเมตร
ถ้า ค่า BMI น้อยกว่า ๑๘.๕ กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่าผอมเกินไป แต่ถ้าค่า BMI สูงกว่านี้ คือ ๒๓ - ๒๔.๙ กิโลกรัม/ตารางเมตร  แสดงว่ามีน้ำหนักตัวเกิน  ถ้าค่า BMI มากกว่า ๒๕ กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่าเป็นโรคอ้วน ในคนที่สูง ๑๗๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัวที่ดีจะอยู่ระหว่าง ๕๘ - ๖๐ กิโลกรัม แต่ถ้าน้ำหนักอยู่ระหว่าง ๖๒.๖๕ กิโลกรัม ก็แสดงว่ามีน้ำหนักเกิน และถ้าหนักมากกว่า ๖๕ กิโลกรัม ก็แสดงว่าอ้วน


      
      เนื้อสัตว์ควรเลือกชนิดไม่ติดมัน ไม่มีหนันำ มาปรุงโดยวิธีการนึ่ง อบ หรือย่าง ไม่ควรทอดในน้ำมันมาก  กินแต่พอควร ประมาณ ๘ - ๑๒ ช้อนกินข้าวต่อวัน ไม่ควรกินมากจนเกินไป เพราะเนื้อสัตว์นอกจากจะให้โปรตีนกับร่างกายแล้ว ยังมีไขมันแทรกอยู่ด้วยควรกินโปรตีนจากพืชจำพวกถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ แทนโปรตีนจากสัตว์ด้วย

      ควรดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยหรือนมขาดมันเนย ในคนที่ดื่มนมได้ ควรดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยวันละ ๑ - ๒ กล่อง เพราะมีปริมาณไขมันและพลังงานน้อยกว่า และไม่ควรดื่มนมปรุงแต่งรส เพราะจะทำให้ได้น้ำตาลและพลังงานเพิ่มขึ้นง
 


      ควรกินผักให้มากทุกมื้อและทุกวัน ผัก ให้วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหารกับร่างกายเช่นเดียวกับผลไม้ แต่ให้พลังงานน้อยกว่าเพราะไม่ค่อยมีน้ำตาล  เส้นใยอาหารในผักช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่ม เนื่องจากเส้นใยอาหารจะดูดน้ำไว้ ทำให้เกิดการพองตัวและใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เป็นเวลานาน ทำให้ไม่เกิดอาการหิวบ่อย ผักที่กินควรเป็นผักสด ลวก หรือต้ม มากกว่าผัดผักที่ใช้น้ำมันมาก หรือผักชุบแป้งทอด สำหรับคนที่ชอบกินผักในลักษณะผักสลัดต้องระวังปริมาณน้ำสลัดต้องไม่ใส่มาก เกินไป


ที่มา  :  http://www.doctor.or.th/node/1411


 

ตำนานดอก Forget-Me-Not

                                                         
ตำนานดอก Forget-Me-Not 

 ดอก Forget me not นั้นเป็นดอกไม้เมืองหนาว ซึ่งจะสามา รถปลูกได้ในที่ๆอากาสหนาวเย็นเท่านั้น ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากที่จะปลูกในประเทศไทย (เพราะอากาศในประเทศไทยมีอยู่สามฤดู ร้อน ร้อนมาก ร้อนที่สุด )

ดอก Forget Me not มีสี ฟ้า จนถึง น้ำเงินเข้ม และเป็นดอกที่ไม่มีกลิ่นหอม


               
คำ ว่า “ Forget-Me-Not” แปลว่า อย่าลืมฉัน เป็นคำพูดสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่ความตายจะมาพรากเขาไปจากสาวคนรัก หนุ่มคนนี้มีชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เขาเป็นอัศวินผู้กล้าหาญ ซึ่งมีคนรักเป็นสาวงาม ครบสูตรคู่รักเฟอร์เฟ็คท์ของสมัยนั้น วันหนึ่งทั้งคู่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ บังเอิญสาวคนรักเหลือบไปเห็นดอกไม้แปลกหน้าสีม่วงเข้มสดใส ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ชูดอกงามอยู่ริมตลิ่ง เธอก็เลยขอร้องคนรักให้ลงไปเก็บให้ ซึ่งเขาก็ทำตามโดยดี แต่โชคร้ายที่ตลิ่งลื่นมาก และตัวเขาก็ใส่เสื้อเกราะเหล็กซึ่งหนักอึ้งอยู่ ชายหนุ่มก็เลยลื่นตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เขาพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่เพราะน้ำหนักเสื้อทำให้เขาจมลงไปทุกที ชายหนุ่มรู้จุดจบของเขาคงจะมาถึงแน่แล้ว เขาจึงโยนดอกไม้ดอกงามขึ้นไปให้สาวคนรักและตะโกนบอกเธอเป็นประโยคสุดท้ายว่า “ Ne moubliez pas... อย่าลืมฉันนะที่รัก จากนั้นร่างของเขาก็จมลงหายไปในแม่น้ำ ดอก Forget Me Not ” (เป็นคำในภาษาอังกฤษแปลว่าอย่าลืมฉัน) จึงถูกตั้งให้เป็นตัวแทนของรักแท้ที่ไม่มีวันดับ เหมือนความรักของอัศวินหนุ่มกับสาวคนรักนั้นเอง

"Forget me not"เมืองไทย


รูปข้างบนคือดอก แวววิเชียร ที่คนไทยมักจะจำสับสน กับดอก Forget me not ของฝรั่ง 
ดอก แวววิเชียรเป็นดอกไม้ที่ปลูกง่ายในทุกๆพิ้นที่ (ที่บ้านเราก็มีแวววิเชียร เพราะช่วงนั้นบ้านิยาย ไปหาซื้อมันมาปลูกจนได้สิน่า ตอนนี้เจ้าพุ่มดอกแวววิเชียร์ก็ยังสบายดีกันอยู่)
เป็นดอกเดี่ยว แต่ออกติด ๆ กันตามข้อต้นหรือง่ามใบ มักออกดอกพร้อมๆ กันตลอดต้น
 กลิ่นนี้บางคนที่ชอบก็กล่าวว่าเป็นกลิ่น หอม บางคนที่ไม่ชอบก็จะบอกว่าเหม็น
ตัวเราเองก็เฉยๆน่ะ ตั้งแต่รบเร้าไห้หม่ามี้เอามาปลูกยังไม่ค่อยไปดูแลมันเลยอ่ะ (=_=)'''
 ครั้งนั้นแวววิเชียรถูกนำเข้ามาจากพม่า ความจริงต้น Forget - me - not ที่รู้จักกันทั่วโลก เป็นพืชเขตอบอุ่นถึงหนาวเย็น ไม่เกี่ยวข้องกับต้นแวววิเชียรของไทยเราเลย
 
แต่ก็เพราะว่าคนที่นำเข้ามาในประเทศไทยคนแรกนั้นเรียกมันว่า
"Forget me not"
 
จึ่งทำไห้คนสมัยก่อนยังเรียกเจ้าดอก แวววิเชียร เป็น ฟอร์เก็ตมีน๊อต  จนถึงปัจจุบันคนขายดอกไม้บางคนยังเรียกเรียก แวววิเชียร ว่า ฟอรเก็ตมีน๊อตเลย
 



ที่มา  :  http://www.kuankaset.com/index.php?topic=3050.0